วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Unseen in Japan ปราสาทคลุกหิมะ

มีใครกำลังวางแผนไปเที่ยวแถบ Tohoku ช่วงฤดูหนาวบ้างหรือเปล่า

นอกเหนือจากสกีรีสอร์ท และออนเซนหิมะท่วมแล้ว
ลองเพิ่มปราสาทแห่งเมือง Aizu Wakamatsu หรือที่เรียกว่า Tsuruga Castle
เข้าไปเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง
จะได้พบกับความอลังการของปราสาทตั้งตระหง่านถูกปกคลุมด้วยหิมะ
เป็นมุมมอง Unseen แบบที่ปราสาทในแถบคันไซให้ไม่ได้





















การเดินทางจากโตเกียวมายังเมือง Aizu Wakamatsu ง่ายนิดเดียว
แค่นั่งชิงกันเซนมาลงที่สถานี Koriyama แห่งเมืองฟุกุชิมะ ใช้เวลาชั่วโมงเศษ
แล้วต่อสาย Aizu Liner หรือ Ban-etsu West Line อีกประมาณ 60-80 นาที

เมื่อมาถึงสถานีแล้ว ที่นี่จะมีรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยววิ่งวนเป็น Loop Line
ทั้งหมดสองสาย ชื่อว่า Haikara-San  (รถสีเขียว วิ่งทวนเข็มนาฬิกา)
และ Akabee (รถสีแดง วิ่งตามเข็มนาฬิกา) พาไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆของเมือง
เริ่มออกวิ่งตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 5 โมงครึ่ง โดยออกทุกๆ 30 นาที
ต่อเที่ยวราคา 210 เยน และมี One-day pass ราคา 500 เยน

หน้าตาของรถบัส (ขอบคุณภาพจาก Japan-Guide)











Aizu Loop Buses ทั้งสองสาย (ขอบคุณภาพจาก Jp.rail)
















แต่กรุ๊ปของเราไม่ได้ใช้ One-day pass เพราะไปถึงตอนเย็นทันรถเที่ยวสุดท้ายพอดี
เลยตรงดิ่งเข้าที่พักที่ออนเซน อยู่แถบชานเมือง Aizu ชื่อว่า Higashiyama Onsen



ในเช้าวันรุ่งขึ้นออกเดินทางเพื่อไปชมปราสาทโดยนั่งบัสคันเดิมไปลงที่ป้าย Tsurugajo Kitaguchi
ก่อนจะเดินเข้าไปยังตัวปราสาท แม้ระยะทางจะไม่ได้ไกล แต่ด้วยที่พื้นปกคลุมด้วยหิมะ
ทำให้ต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะลื่นไถลก่อนจะได้ไปชมปราสาท 

คูน้ำรอบปราสาทกลายเป็นน้ำแข็ง
ทางเดินเต็มไปด้วยหิมะ



















หากใครอยากสัมผัสบรรยากาศความยิ่งใหญ่ปนยะเยือกของปราสาท Tsuruga Castle 
แนะนำให้ไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ใช้เวลาสักหนึ่งวันเพื่อตระเวณชมส่วนต่างๆของเมือง
เป็นอีกหนึ่งรสชาติของ One-Day Trip ระหว่างทางก่อนไปเมืองใหญ่อย่าง Sendai 
หรือจะตรงมาจากโตเกียว เพื่อค้างหนึ่งคืน กลางวันชมปราสาท กลางคืนแช่ออนเซน
ก็แล้วแต่ความสะดวก

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Tokyo Cheesecake


Tokyo Cheesecake ไม่ใช่ชื่อขนม
แต่เป็นเว็บไซต์ที่พ่วงด้วย tagline น่ารักๆว่า "a guide to Tokyo's cozy side"
เป็นแหล่งรวมข้อมูลร้านกาแฟขนาดเล็กในโตเกียว

เราบังเอิญเจอเว็บไซต์ http://tokyo-cheesecake.com เมื่อต้นปีที่แล้ว 
ตอนค้นหาข้อมูลร้านกาแฟในโตเกียว
และจากนั้นได้ใช้เว็บไซต์นี้เป็นไกด์นำทางไปหาร้านกาแฟ+ขนม สไตล์โฮมเมด 
ตามย่านหลบมุมต่างๆทั่วโตเกียวที่ห่างไกลจากนักท่องเที่ยว
















ที่มาของชื่อ Tokyo Cheesecake ก็ไม่ต้องไปคิดหาเหตุผลอื่นไกล
เพราะทางเจ้าของเว็บไซต์ชื่นชอบในชีสเค้กมากเป็นพิเศษ 
ละชีสเค้กก็เป็นขนมที่หาได้แทบทุกร้านในโตเกียว
ก็เลยกลายเป็นที่มาของ Cheesecake Scores ที่หากชีสเค้กร้านไหนอร่อยโดนใจแล้วล่ะก็ 
ผู้รีวิวจะให้สัญลักษณ์เค้ก 5 ก้อน พร้อมกับคอมเมนต์เพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ 
ให้ผู้อ่านตัดสินใจเลือกร้านไปชิมได้ง่ายขึ้น

ส่วนตัว ร้านที่เราไปตามลายแทงจาก Tokyo Cheesecake และประทับใจมากที่สุด คือ "Cafe Lotta"
คาเฟ่โฮมเมดขนาดเล็ก ไม่เกิน 10 ที่นั่ง ในย่าน Setagaya ซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของคนโตเกียว
แน่นอน เหตุผลหลักคือ ชีสเค้กร้านนี้ได้รับคะแนนเต็มจากการรีวิว พร้อมคอมเมนต์สั้นๆว่า Just Fantastic


















แม้จะต้องนั่งรถไฟหลายต่อหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากอยากจะกินล่ะก็ 
ร้านเล็กสมคำร่ำลือ แต่ก็ตกแต่งได้อย่างน่ารักพอเหมาะพอดี ไม่ได้เลี่ยนจนเกินไป
พร้อมเดินไปเกาะตู้ขนม สั่งชีสเค้กมากินให้สมกับที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล
หน้าตาอาจต่างจากชีสเค้กที่ขายในบ้านเราไม่น้อย เพราะที่นี่ไม่มีซอสเบอร์รี่ราดมาให้

แต่ใส่เบอร์รี่สดและอบไปในชีสเค้ก เสิร์ฟมาในจานที่ตกแต่งด้วยวิปครีมเนื้อเนียนนุ่ม






















รสชาติของชีสเค้กสมกับคำว่า Just Fantastic จริงๆ เป็นชีสเค้กที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มมากมาย
เน้นขายรสชาติของตัวชีส และความหอมที่เข้ากันกับรสเปรี้ยวนิดๆของเบอร์รี่ได้เป็นอย่างดี
เหมาะสำหรับคนที่มองหาพื้นที่เล็กๆในการพักผ่อน ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ 




















แค่จิบกาแฟและมองโตเกียวหมุนผ่านไป ก็จะเข้าใจว่าทำไมเมืองนี้ถึงมีแรงที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก 

เพราะ Tokyo has a lot more to offer

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

Yamanote Line รถไฟสายนี้ไม่มีหลง


Sometime the wrong train can take us to the right place
แต่สำหรับรถไฟสาย Yamanote ได้สวนทางความหมายที่ซ่อนของคำคมนี้












ใครที่ได้ไปเยือนโตเกียว แบบเที่ยวด้วยตัวเอง
ยังไงก็ต้องเคยสัมผัสการวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นรถไฟสายนี้อย่างแน่นอน
เพราะ Yamanote เป็นรถไฟประเภท Loop Line ที่วิ่งวนเป็นวงกลม
ไม่ต่างจากการนั่งม้าหมุนในสวนสนุก เพียงแต่รอบของ Yamanote Line
ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป กว่ารถไฟจะวิ่งวนรอบครบ
ไปตามย่านสำคัญต่างๆของโตเกียว
 

สำหรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมือใหม่ชนิด First Time in Tokyo
ทุี่กำลังงง จับต้นชนปลายไม่ถูกกับแแผนที่รถไฟของโตเกียว
ที่ไม่ต่างจากใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ดูยุ่งเหยิง
ยิ่งเพ่งมองก็ยิ่งพิศวง ไม่ต่างจากมองภาพสามมิติ
การหา Yamanote Line ให้เจอ และจำสถานีสำคัญๆ
ทั้ง Ikebukuro Shinjuku Shibuya Ueno Tokyo และ Shinagawa
ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มักปรากฎอยู่บนป้ายบอกเส้นทางและเลขชานชาลา
จะช่วยให้หลุดพ้นจากความยุ่งเหยิง ฝ่าด่านแรกในการตะลุยโตเกียว
ก่อนที่จะทำความเข้าใจในระบบรถไฟสายอื่นต่อไป

ข้อสำคัญ การขึ้น Yamanote Line ไม่ต้องกังวลว่า เราจะขึ้นรถไฟผิดสายหรือไม่
เพราะวิ่งวนทั้งสองทาง ทั้งซ้ายและขวา โดยไม่หยุดแวะพักที่สถานีชานชาลา

ไม่ว่ายังไงเจ้า Loop Line สายนี้ก็จะพามาส่งที่จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้อยู่ดี
แต่อาจใช้เวลาแตกต่างกันไป หากเราเลือกขึ้นชานชาลาผิดฝั่ง

เมื่อสอดตั๋วเดินผ่านเข้ามาในสถานี ให้เรามองหาป้ายที่มีสีเขียวประกอบ
ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของ Yamanote Line ซึ่งจะระบุสถานีสำคัญและเลขชานชาลา
สมมติว่าจากสถานี Ikebukuro ต้องการเดินทางไปยังสถานี Ebisu
ควรมองหาป้ายที่ไป Shibuya ซึ่งสถานี Ebisu จะอยู่ห่างจาก Shibuya เพียงหนึ่งสถานี

แต่หากเราขึ้นผิดฝั่ง นั่งรถไฟที่วิ่งวนไปยังสถานี Ueno หรือ Tokyo ก็ไม่ต้องตกใจ
เพราะยังไงก็วิ่งวนมายังสถานี Ebisu เช่นกัน เพียงแต่อาจได้สัมผัสชีวิตคนญี่ปุ่นบนรถไฟ
นานกว่าอีกฝั่งเท่านั้นเอง

แต่พอออกจากรถไฟแล้วจะหลงหรือเปล่า ก็คงขึ้นอยู่กับบุญและวาสนา
เพราะจากประสบการณ์ไม่ว่าเตรียมตัวมาดีแค่ไหน การหลงก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเที่ยวเสมอ
จนกลายเป็นอีกหนึ่งคติประจำใจ ที่ต้องทำใจยอมรับว่า

การไปเที่ยวได้หลงทางบ้างก็ดี แต่ถ้าหลงถี่ๆก็คงไม่ไหว
บางครั้งอาจจะทำให้เหนื่อยจนถอดใจ และไปไม่ถึงไหนในที่สุด

ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.japan-guide.com

ป.ล. ถ้าหากพลาดขบวนรถไฟ Yamanote Line ก็ไม่ต้องตกใจ ยืนฟังเมโลดี้เพราะๆ
Jingles at station ไปพลางๆ อีกไม่เกิน 5 นาที ขบวนถัดไปก็มาแบบเพลินๆ

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ต้องมนต์ Tokyo Tower


อาจเป็นความตั้งใจที่ทางญี่ปุ่นไม่สร้างสถานีรถไฟที่โผล่จากใต้ดินขึ้นมา
หรือแค่ก้าวพ้นออกมาจากสถานีก็เจอโตเกียว ทาวเวอร์ตั้งตะหง่านตรงหน้า

เพราะจากทริปล่าสุด ที่ตั้งใจไปเผชิญหน้ากับโตเกียว ทาวเวอร์ อย่างจริงจัง
กลับพบว่า เสน่ห์ของการชมโตเกียวทาวเวอร์ คือ 
การค่อยๆมองเห็นโตเกียว ทาวเวอร์ชัดขึ้นทีละนิดๆ 
ตามแต่ละก้าวที่พาตัวเขยิบเข้าไปใกล้ 
เหมือนเจอคนที่ชอบ แต่ไม่กล้าบอกความในใจ
ต้องค่อยๆแอบมองอยู่ไกลๆ แต่ใจจะรู้สึกสั่นไหวไปกับแต่ละก้าวที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ



แม้จะมีน้องใหม่สกายทรี แบ่งความสนใจของผู้คนจากโตเกียว ทาวเวอร์ไป
แต่สำหรับคนมาไกลอย่างเรา กลับผูกพันกับโตเกียว ทาวเวอร์ มากกว่า
ผ่านประสบการณ์ที่ได้รับจากเรื่องราวที่ร้อยเรียงกันเป็นวรรณกรรม ดราม่า และภาพยนตร์

Always Sunset On the Third Street ทั้ง 3 ภาค ทำให้เราเห็นถึงความหวัง ความฝันของชาวญี่ปุ่น
ในช่วงยุคหลังสงครามโลกที่มีต่อโตเกียว ทาวเวอร์



ใน Ando Lloyd โตเกียว ทาวเวอร์ เปรียบเหมือนเป็นประจักษ์พยานในคำมั่นสัญญาที่ Professor Reiji ให้ไว้กับ Ando ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปกป้องเธอให้ได้



ขณะที่เมืองโตเกียวจะได้ทำลายความฝันของใครหลายคน รวมถึงพ่อของ Masaya จากเรื่อง Tokyo Tower - Mom&Me and sometimes Dad แต่โตเกียว ทาวเวอร์ก็ยังเป็นมุมมองที่สวยงามให้กับแม่ของเขาเสมอ แม้กระทั่งตอนที่ตระหนักว่าวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึงเต็มที่

โตเกียว ทาวเวอร์ เป็นศูนย์กลางที่ถูกล้อมรอบโดยสถานีรถไฟรอบทิศ 
โดยสถานีที่ใกล้ที่สุด คือ สถานี Onarimon บน Mita Subway Line 
และสถานี Akabanebashi บน Oedo Subway Line ซึ่งใช้เวลาเดินเพียงประมาณ 5-7 นาที

แต่เราเลือกลงสถานี Hamamatsucho บนสาย JR Yamanote Line แทน
ด้วยเหตุผลเอาแต่ใจสั้นๆว่า การทิ้งระยะห่างจากโตเกียว ทาวเวอร์
ทำให้เรามองเห็นความสวยงามของมันได้มากกว่าการชมในระยะประชิด



ถ้าตั้งใจเดินจริงจังจากสถานี Hamamatsucho มายังโตเกียว ทาวเวอร์ จะใช้เวลาแค่ 15 นาที
แต่เราก็ตั้งใจเหมือนกัน แต่ตั้งใจมองหาร้านกาแฟระหว่างทางอย่างจริงจัง
เพราะอยากนั่งจิบกาแฟไป ชมโตเกียว ทาวเวอร์ไป 
เลยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโตเกียว ทาวเวอร์

เดินมาประมาณ 10 นาที เราก็เจอกับร้านกาแฟที่ตรงกับความต้องการ
นั่งอ้อยอิ่งละเลียดกาแฟสะท้านหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียว
ชมโตเกียว ทาวเวอร์ อยู่หน้าร้าน Seattle's Best Coffee กว่าครึ่งชั่วโมง
ก็ขยับพื้นที่เข้าใกล้มากขึ้นอีกนิด เพื่อแวะอีกหนึ่งจุด นั่นคือ วัด Zojoji
ใช้เวลาเดินชมวัดแห่งนี้อยู่เกือบ 10 นาที ก็ถึงเวลาเผชิญหน้ากับโตเกียว ทาวเวอร์ เสียที



แต่ละก้าวที่เดินเข้าหาโตเกียวทาวเวอร์ ทำให้เข้าใจบางเสี้ยวของความหวังในตัวละครจากเรื่อง Always
ว่าบางที "ชั่วโมงแห่งการรอคอย" เพื่อให้พบเจอกับอะไรบางอย่าง ก็สำคัญไม่แพ้กับ "ชั่วโมงต้องมนต์" เมื่อเราได้รู้ว่าการรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว

ถึงจะดีใจที่การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งที่ 7 ของเราในที่สุดก็มาถึงโตเกียว ทาวเวอร์
แต่เหมือนอย่างที่ใจแอบคิด โตเกียว ทาวเวอร์ ในระยะประชิด เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
จนทำให้เราต้องค่อยๆถอยระยะห่างออกมา จนค้นพบว่าการเว้นช่องไฟ ทำให้ประทับใจกว่า


และแน่นอนว่าครั้งหน้าในโตเกียว
เราและโตเกียว ทาวเวอร์ จะกลับมายืนยิ้มให้กันบนคนละมุมของฟากถนน

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Kamejikan โฮสเทลหลังน้อยใน Kamakura


วันนี้เราจะมาแนะนำโฮสเทลเล็กๆแห่งหนึ่งใน Kamakura
ที่เราได้มีโอกาสไปพักมา 2 คืน ในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นที่ผ่านมา

รีวิวนี้อาจไม่ละเอียดเท่าไรนะคะ แต่พอมีภาพให้เกิดไอเดียว่า
หน้าตาของสถานที่ และบรรยากาศเป็นแบบไหน

คนส่วนใหญ่ เวลาไปเที่ยว Kamakura มักนิยมไปแบบ One-day trip มากกว่าค้างคืน
แต่เรากลับรู้สึกชอบความเป็นเมืองขนาดเล็กของที่นี่ จึงตั้งใจว่าจะลองพักสักสองคืน
ลองค้นหาที่พักใน Google ดู และก็มาเจอกับโฮสเทลนี้ Kamejikan



เราจองผ่านจากทางเว็บไซต์ของที่พักเลยค่ะ http://kamejikan.com/eng/
มีภาษาอังกฤษ สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย

ซึ่งห้องพักที่นี่จะมีอยู่ 3 ห้อง (ภาพห้องพักดึงมาจากเว็บไซต์ของโฮสเทล)
- ห้องพักขนาดเล็ก พักได้ 2 คน ราคา 9000 เยนต่อห้อง ทางโฮสเทลบอกว่า นี่เป็นห้องที่เงียบที่สุด


- ห้องพักขนาดใหญ่ พักได้ 4 คน ราคา 16,000 เยนต่อห้อง


- และห้องพักแบบ Dormitory 6 เตียง รวมชาย-หญิง ราคา 3,200 - 3,500 เยนต่อเตียง


เราพักห้องสำหรับ 4 คนค่ะ ก็จะเหมือนกับโฮสเทลสไตล์ญี่ปุ่นอื่นๆ เราต้องปูที่นอนเองบนเสื่อทาทามิเอง และในห้องก็จะมี Air Condition ให้ด้วย เหมาะสำหรับหน้าร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส

นอกจากที่พักแล้ว ในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายัง Kamakura เป็นจำนวนมาก
ที่นี่ยังเปิดเป็นคาเฟ่ในตอนกลางวัน และร้านอาหารในตอนกลางคืน

ข้อเสีย
ร้านอาหารกึ่งบาร์ในตอนกลางคืนนี่แหละค่ะ กลายเป็นข้อเสียของที่พักไปเลย
เพราะว่าที่นี่นำบ้านเก่ามารีโนเวทเป็นที่พัก ดังนั้นจะผนังที่กั้นระหว่างห้องจะเป็นประตูกระดาษ
ซึ่งไม่สามารถกันเสียงอะไรใดๆได้เลย 

โดยห้องที่เราพักอยู่ติดกับพื้นที่ทานอาหาร และอีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับห้อง Dormitory
จึงได้ยินเสียงต่างๆชัดเจน ทั้งเสียงคุยระหว่างกินข้าวในตอนหัวค่ำ และเสียงกรนในเวลากลางคืน

ข้อเสียอีกอย่างของที่นี่ คือ ห้องน้ำ ซึ่งมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น 
เพราะฉะนั้นในช่วงตอนเช้าหรือหัวค่ำก็อาจต้องรอกันนานหน่อย

ข้อดี
เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับ Budget Traveller ในการใช้ที่นี่เป็นเบสสำหรับการท่องเที่ยวในแถบ Kamakura
และที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากชายหาดชื่อดัง Yuigahama ซึ่งตอนเช้าๆหากใครชอบวิ่งออกกำลังกายแล้วล่ะก็
สามารถวิ่งจากที่พักไปจ็อกกิ้งริมชายหาดได้อย่างสบายๆ

สำหรับเรา 3 วัน 2 คืน ใน Kamakura ถือว่ากำลังพอดี มีเวลาให้เดินชมเมืองแบบไม่ต้องเร่งรีบ
แต่ด้วยอากาศที่ร้อนก็เลยทำให้อาจไปวัดต่างๆอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ครบ กะไว้ว่าจะมาแก้ตัวใหม่อีกทีตอนช่วงใบไม้ร่วง

ใครอยากลองเที่ยว Kamakura ในมุมอื่นๆที่ไม่ใช่แค่พระใหญ่ ลองดูเพิ่มเติมในบล็อกนี้นะคพ
http://naejourney.blogspot.com/2013/08/kamakura.html

หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆกัน

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แสงสุดท้ายที่ Yokohama


อีกร้อยปีข้างหน้า ถ้าโลกยังคงไม่แตก และเมืองแห่งอนาคตมีอยู่จริง
ย่าน Minato Mirai ของ Yokohama ในปัจจุบัน คงเป็นเมืองในจินตนาการที่ใฝ่ฝันถึง


















แม้ไม่ได้ฉูดฉาด และวูบวาบเหมือนที่เห็นอย่างฉากในหนัง Sci-Fi จนชินตา
แต่กว่าจะเดินทางถึง "แสงสุดท้าย" ของ Yokohoma
คงต้องใช้ระยะเวลาจนแสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าออกมาทักทาย



















สีสันที่มากมายของ Yokohama ทำให้บางครั้งเราก็ลืมไปว่า เดินทางมาที่นี่เพื่ออะไร
จากความตั้งใจแรกเมื่อตอนเห็นรูปของ Osanbashi Pier ท่าเรือหน้าตาแปลกประหลาด
เต็มไปด้วยดีไซน์และไอเดียในการออกแบบก่อสร้าง ไม่เหลือเค้าของความเป็นท่าเรือให้เห็นแม้แต่น้อย
ก็คิดว่านี่แหละ คือ จุดหมายปลายทาง



Fuji-San แอบซ่อนอยู่ระหว่างตึก
 

แต่พอมาถึง Osanbashi Pier ในตอนก่อนพระอาทิตย์ตก
จุดหมายปลายทางของเราได้เปลี่ยนไปตาม "แสงไฟ" อื่นๆที่ค่อยๆปรากฎขึ้นมา
พร้อมๆกับการหายตัวไปของ Fuji-San ที่ช่วงตอนเย็นยอมเผยตัวให้เราได้เห็น
ก่อนจะโดนกลบด้วยแสงไฟมื่อความมืดมิดมาเยือน

ช่วงหน้าหนาว Yokohama ดูคึกคักเป็นพิเศษ
จากแดดที่ร้อนแรงในตอนกลางวัน Yokohama เปลี่ยนไปมากในยามเย็นจนถึงพลบค่ำ
หลังจากเก็บภาพแสงยามเย็นจนหนำใจ จาก Osanbashi Pier เราเดินตามแสงไฟไปยัง
Red Brick Warehouse แลนมาร์คสำคัญของ Yokohama ซึ่งในช่วงมกราคม - กุมภาพันธ์ของทุกปี
พื้นที่ว่างด้านหน้าจะเปลี่ยนเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้ง คราคล่ำไปด้วยชาวญี่ปุ่น
และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จนทำให้ลานสเก็ตน้ำแข็งดูแน่นขนัด






















เมียงมองอยู่ด้านนอก คนเมืองร้อนอย่างเราก็ขอแค่เก็บภาพและเดินสำรวจย่าน
Red Brick Warehouse ที่ข้างในตึกมีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกต่างๆ
ก่อนมุ่งหน้าสู่แสงถัดไปที่ย่านตึกระฟ้าของ Minato Mirai

ชิงช้าสวรรค์ของ Cosmo World ที่เด่นสะดุดตาเมื่อมองจาก Osanbashi Pier
กลับดูธรรมมาเมื่ออยู่ใกล้แค่เอื้อม เช่นเดียวกับตึก Landmark Tower
ที่แทบจะเดินผ่านโดยไม่ได้สังเกตุเลยว่า นี่คือตึกสำคัญแห่งหนึ่งของ Yokohama

เมื่อการตามหาแสงสุดท้ายที่ Yokohama เริ่มส่อให้เห็นถึงความผิดหวัง
ความสวยงามจากแสงไฟที่เห็นจากระยะไกล เป็นแค่ภาพลวงตาเมื่ออยู่ใกล้

ความหวังในแสงสุดท้ายของเราจึงฝากไว้กับ Tokyo Tower
สิ่งก่อสร้างที่เปรียบเหมือนกับแสงสุดท้ายของชาวญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Tadaima Tohoku


เสียงใสๆ ของ Haruka Ayase กับหน้าที่แอมบาสเดอร์ให้กับการท่องเที่วยวภูมิภาค Tohoku ในแคมเปญ
"Tadaima Tohoku" เกิดขึ้นมาพร้อมกับการรับบทบาทวีรสตรีหญิงแห่งญี่ปุ่นในไทกะ โดราม่า เรื่อง Yae No Sakuraที่ได้เห็นโดยบังเอิญในยูทูป ทำให้เราหันมาสนใจที่จะลองทำความรู้จักกับ Tohoku อย่างจริงจัง จากตอนแรกที่ตั้งใจไปสัมผัสแค่เพียง Nyoto Onsen หนึ่งใน Dream Destination ของพวกเรา




ทุกครั้งที่ออกนอกเส้นทางการเดินทางเดิมๆ การบ้านที่ต้องทำเป็นลำกับแรกก่อนการเดินทาง คือการศึกษาภูมิศาสตร์ของสถานที่ๆที่จะไป ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะให้เราเข้าใจในสภาพภูมิประเทศ การเลือกประเภทของยานพาหนะในการเดินทาง และวางแผนการเดินทางได้อย่างรัดกุมมากขึ้น

Tohoku ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นเกาะเดียวกับที่ตั้งของโตเกียว มหานครของประเทศญี่ปุ่น ทำให้การเดินทางไปยังภูมิภาคนี้สะดวกสบายด้วยรถไฟความเร็วสูง โดยจะมีรถไฟวิ่งตรงจากโตเกียวไปยังจังหวัดต่างๆทั่วภูมิภาค โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน และใช้เวลาโดยประมาณ 2-4 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับระยะความใกล้ไกล



แม้จะขัดกับความชอบในการเดินทางด้วยรถไฟท้องถิ่นแบบถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แต่ในระยะเวลา 5 วันกับ 5 จุดหมายปลายทางที่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆทั่ว Tohoku ตั๋วรถไฟ JR East Pass แบบ 5 วัน ในราคา 11,000 เยน จึงลงตัวกับการเดินทางมากที่สุด

JR East Pass วิธีการใช้ไม่ต่างจาก JR Pass เพียงแค่ว่า JR East Pass ครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ทางส่วนตะวันออกของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงบางส่วนของภูมิภาค Kanto และภูมิภาค Tohoku ทั้งหมด ในขณะที่ JR Pass ครอบคลุมการเดินทางด้วยรถไฟทั่วประเทศ

เริ่มต้นวันแรกของการใช้ JR East Pass ด้วยการเดินทางสู่ Sendai ซึ่งเปรียบได้กับเมืองหลวงของภูมิภาค Tohoku หลังจากเดินชมเมืองท่ามกลางอุณหภูมิติดลบยามค่ำคืน เติมพลังด้วย "Gyutan" หรือ "ลิ้นวัวย่าง" อาหารประจำท้องถิ่น ก่อนจะเริ่มทริปแช่ออนเซนกันจนตัวเปื่อย 3 วันติด เพราะอากาศหนาวๆอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะมีความสุขไปกว่าการได้แช่น้ำท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปราย

ความสุขง่ายๆที่ต้องแลกกับการเดินทางหลายพันกิโลเมตร

เริ่มต้นทริปบ่อน้ำร้อนด้วยไฮไลท์ประจำทริป  Nyoto Onsen ในจังหวัด Akita โดยเราเลือกพักที่ Tsurunoyu ที่มีบ่อน้ำร้่อนกลางแจ้งเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ดั้นด้นมาเยือนตลอดทั้งปี

ออนเซนในตำนานที่ดั้นดนมาไกลหลายพันกิโล


วันที่สองเราออกเดินทางจาก Akita มุ่งหน้า Fukushima โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ Takayu Onsen ซึ่งต้องนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ Fukushima ไปประมาณ 40 นาที

Takayu Onsen ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งคนญี่ปุ่นเอง และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยิ่งเกิดเรื่องร้ายกับ Fukushima ยิ่งทำให้ที่นี่เงียบเหงามากขึ้น แต่นั่นก็เป็นข้อดีสำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อยอย่างเรา โรงแรมส่วนใหญ่พากันลดราคาเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว เราจึงได้ที่พักสุดหรู พร้อมแช่ออนเซนสบายในราคาเพียงแค่ 5,000 เยนเท่านั้น (ไม่รวมอาหารเช้า-เย็น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเราตุนมาจากซูเปอร์มาเก็ตที่สถานีรถไฟแล้ว)

โรงแรมที่พักใน Takayu Onsen มองเห็นวิวของ Fukushima ได้ทั้งเมือง
ออนเซนของโรงแรมที่พัก

ก่อนลาจาก Takayu Onsen ขอแช่ออนเซนกลางแจ้งของโรงแรมข้างๆ


วันที่สามยังคงอยู่ใน Fukushima มุ่งหน้าสู่ Aizu Wakamatsu เมืองประวัติศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น กับอีกหนึ่งโรงแรมหรูในราคาเบาๆ (อีกแล้ว) แถว Higashiyama Onsen

หิมะขาวโพลนระหว่างทางไป Aizu Wakamtsu
Higashiyama Onsen




Aizu Wakamatsu ในวันนี้เต็มไปด้วยความหวังของคน Fukushima ที่จะใช้เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้ Fukushima มามีชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกครั้ง ผ่านละครอิงประวัติศาสตร์ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Taiga Drama เรื่อง Yae No Sakura ที่ได้ Haruka Ayase มาแสดงนำ ก่อนพ่วงด้วยแคมเปญ Tadaima Tohoku ที่แนะนำข้อมูลท่องเที่ยวและความน่าสนใจในเมืองนี้


โปสเตอร์ของ Ayase ในบทของ Niijima Yae ติดอยู่ทั่วเมือง

ธงโปรโมทสถานที่ถ่ายทำเรื่อง Yae No Sakura เห็นได้ตลอดสองข้างทางในเมือง Aizu Wakamatsu


แม้หิมะจะทำให้บรรยากาศของ Fukushima ดูหม่นกว่าที่เป็นอยู่ แต่วันนี้ของ Tohoku โดยเฉพาะในจังหวัด Fukushima เริ่มมีความคึกคักของนักท่องเที่ยวให้เห็น ซึ่งการเลือก Fukushima เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางทริปนี้ ส่วนหนึ่งเพราะอยากให้กำลังใจให้ Fukushima ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ อีกส่วนหนึ่ง อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่า นอกเหนือจากเรื่องร้ายๆที่เสพจากข่าวสารแบบไม่รู้จบแล้ว Fukushima ยังมีความสวยงามอะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง

ปราสาท Aizu Wakamatsu ปกคลุมด้วยหิมะ

แม้ Fukushima จะทำหน้าที่แบบขาดๆเกินๆไปบ้าง อาจไม่มีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษในการให้คำแนะนำกับนักท่องเที่ยว การเดินทางที่ไม่สะดวกสบายเทียบเท่าจังหวัดอื่นในญี่ปุ่น

แต่สิ่งที่เราได้รับกลับมาจากสองคืนใน Fukushima หนึ่งคืนใน Sendai และหนึ่งคืนใน Akita ทำให้ทริปนี้เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับมาเยือนอีกครั้งพร้อมด้วยคำทักทายสั้นๆที่เชื่อว่าทุกคนที่นี่อยากได้ยิืน มากที่สุด

 "Tadiama Tohoku"

ป.ล. "Tadaima" แปลว่า "กลับมาแล้ว" เป็นสำนวนที่คนญี่ปุ่นพูดกันเป็นประจำเมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน
โดยมักใช้คู่กับคำว่า "Okaerinasai" ที่แปลว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน" 

คำเตือน: ทั้งหมดเป็นความรู้ที่ได้จากการดูซีรีย์ญี่ปุ่นล้วนๆ