วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ต้องมนต์ Tokyo Tower


อาจเป็นความตั้งใจที่ทางญี่ปุ่นไม่สร้างสถานีรถไฟที่โผล่จากใต้ดินขึ้นมา
หรือแค่ก้าวพ้นออกมาจากสถานีก็เจอโตเกียว ทาวเวอร์ตั้งตะหง่านตรงหน้า

เพราะจากทริปล่าสุด ที่ตั้งใจไปเผชิญหน้ากับโตเกียว ทาวเวอร์ อย่างจริงจัง
กลับพบว่า เสน่ห์ของการชมโตเกียวทาวเวอร์ คือ 
การค่อยๆมองเห็นโตเกียว ทาวเวอร์ชัดขึ้นทีละนิดๆ 
ตามแต่ละก้าวที่พาตัวเขยิบเข้าไปใกล้ 
เหมือนเจอคนที่ชอบ แต่ไม่กล้าบอกความในใจ
ต้องค่อยๆแอบมองอยู่ไกลๆ แต่ใจจะรู้สึกสั่นไหวไปกับแต่ละก้าวที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ



แม้จะมีน้องใหม่สกายทรี แบ่งความสนใจของผู้คนจากโตเกียว ทาวเวอร์ไป
แต่สำหรับคนมาไกลอย่างเรา กลับผูกพันกับโตเกียว ทาวเวอร์ มากกว่า
ผ่านประสบการณ์ที่ได้รับจากเรื่องราวที่ร้อยเรียงกันเป็นวรรณกรรม ดราม่า และภาพยนตร์

Always Sunset On the Third Street ทั้ง 3 ภาค ทำให้เราเห็นถึงความหวัง ความฝันของชาวญี่ปุ่น
ในช่วงยุคหลังสงครามโลกที่มีต่อโตเกียว ทาวเวอร์



ใน Ando Lloyd โตเกียว ทาวเวอร์ เปรียบเหมือนเป็นประจักษ์พยานในคำมั่นสัญญาที่ Professor Reiji ให้ไว้กับ Ando ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะปกป้องเธอให้ได้



ขณะที่เมืองโตเกียวจะได้ทำลายความฝันของใครหลายคน รวมถึงพ่อของ Masaya จากเรื่อง Tokyo Tower - Mom&Me and sometimes Dad แต่โตเกียว ทาวเวอร์ก็ยังเป็นมุมมองที่สวยงามให้กับแม่ของเขาเสมอ แม้กระทั่งตอนที่ตระหนักว่าวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึงเต็มที่

โตเกียว ทาวเวอร์ เป็นศูนย์กลางที่ถูกล้อมรอบโดยสถานีรถไฟรอบทิศ 
โดยสถานีที่ใกล้ที่สุด คือ สถานี Onarimon บน Mita Subway Line 
และสถานี Akabanebashi บน Oedo Subway Line ซึ่งใช้เวลาเดินเพียงประมาณ 5-7 นาที

แต่เราเลือกลงสถานี Hamamatsucho บนสาย JR Yamanote Line แทน
ด้วยเหตุผลเอาแต่ใจสั้นๆว่า การทิ้งระยะห่างจากโตเกียว ทาวเวอร์
ทำให้เรามองเห็นความสวยงามของมันได้มากกว่าการชมในระยะประชิด



ถ้าตั้งใจเดินจริงจังจากสถานี Hamamatsucho มายังโตเกียว ทาวเวอร์ จะใช้เวลาแค่ 15 นาที
แต่เราก็ตั้งใจเหมือนกัน แต่ตั้งใจมองหาร้านกาแฟระหว่างทางอย่างจริงจัง
เพราะอยากนั่งจิบกาแฟไป ชมโตเกียว ทาวเวอร์ไป 
เลยใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโตเกียว ทาวเวอร์

เดินมาประมาณ 10 นาที เราก็เจอกับร้านกาแฟที่ตรงกับความต้องการ
นั่งอ้อยอิ่งละเลียดกาแฟสะท้านหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียว
ชมโตเกียว ทาวเวอร์ อยู่หน้าร้าน Seattle's Best Coffee กว่าครึ่งชั่วโมง
ก็ขยับพื้นที่เข้าใกล้มากขึ้นอีกนิด เพื่อแวะอีกหนึ่งจุด นั่นคือ วัด Zojoji
ใช้เวลาเดินชมวัดแห่งนี้อยู่เกือบ 10 นาที ก็ถึงเวลาเผชิญหน้ากับโตเกียว ทาวเวอร์ เสียที



แต่ละก้าวที่เดินเข้าหาโตเกียวทาวเวอร์ ทำให้เข้าใจบางเสี้ยวของความหวังในตัวละครจากเรื่อง Always
ว่าบางที "ชั่วโมงแห่งการรอคอย" เพื่อให้พบเจอกับอะไรบางอย่าง ก็สำคัญไม่แพ้กับ "ชั่วโมงต้องมนต์" เมื่อเราได้รู้ว่าการรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว

ถึงจะดีใจที่การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งที่ 7 ของเราในที่สุดก็มาถึงโตเกียว ทาวเวอร์
แต่เหมือนอย่างที่ใจแอบคิด โตเกียว ทาวเวอร์ ในระยะประชิด เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
จนทำให้เราต้องค่อยๆถอยระยะห่างออกมา จนค้นพบว่าการเว้นช่องไฟ ทำให้ประทับใจกว่า


และแน่นอนว่าครั้งหน้าในโตเกียว
เราและโตเกียว ทาวเวอร์ จะกลับมายืนยิ้มให้กันบนคนละมุมของฟากถนน

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Kamejikan โฮสเทลหลังน้อยใน Kamakura


วันนี้เราจะมาแนะนำโฮสเทลเล็กๆแห่งหนึ่งใน Kamakura
ที่เราได้มีโอกาสไปพักมา 2 คืน ในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นที่ผ่านมา

รีวิวนี้อาจไม่ละเอียดเท่าไรนะคะ แต่พอมีภาพให้เกิดไอเดียว่า
หน้าตาของสถานที่ และบรรยากาศเป็นแบบไหน

คนส่วนใหญ่ เวลาไปเที่ยว Kamakura มักนิยมไปแบบ One-day trip มากกว่าค้างคืน
แต่เรากลับรู้สึกชอบความเป็นเมืองขนาดเล็กของที่นี่ จึงตั้งใจว่าจะลองพักสักสองคืน
ลองค้นหาที่พักใน Google ดู และก็มาเจอกับโฮสเทลนี้ Kamejikan



เราจองผ่านจากทางเว็บไซต์ของที่พักเลยค่ะ http://kamejikan.com/eng/
มีภาษาอังกฤษ สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย

ซึ่งห้องพักที่นี่จะมีอยู่ 3 ห้อง (ภาพห้องพักดึงมาจากเว็บไซต์ของโฮสเทล)
- ห้องพักขนาดเล็ก พักได้ 2 คน ราคา 9000 เยนต่อห้อง ทางโฮสเทลบอกว่า นี่เป็นห้องที่เงียบที่สุด


- ห้องพักขนาดใหญ่ พักได้ 4 คน ราคา 16,000 เยนต่อห้อง


- และห้องพักแบบ Dormitory 6 เตียง รวมชาย-หญิง ราคา 3,200 - 3,500 เยนต่อเตียง


เราพักห้องสำหรับ 4 คนค่ะ ก็จะเหมือนกับโฮสเทลสไตล์ญี่ปุ่นอื่นๆ เราต้องปูที่นอนเองบนเสื่อทาทามิเอง และในห้องก็จะมี Air Condition ให้ด้วย เหมาะสำหรับหน้าร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส

นอกจากที่พักแล้ว ในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายัง Kamakura เป็นจำนวนมาก
ที่นี่ยังเปิดเป็นคาเฟ่ในตอนกลางวัน และร้านอาหารในตอนกลางคืน

ข้อเสีย
ร้านอาหารกึ่งบาร์ในตอนกลางคืนนี่แหละค่ะ กลายเป็นข้อเสียของที่พักไปเลย
เพราะว่าที่นี่นำบ้านเก่ามารีโนเวทเป็นที่พัก ดังนั้นจะผนังที่กั้นระหว่างห้องจะเป็นประตูกระดาษ
ซึ่งไม่สามารถกันเสียงอะไรใดๆได้เลย 

โดยห้องที่เราพักอยู่ติดกับพื้นที่ทานอาหาร และอีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับห้อง Dormitory
จึงได้ยินเสียงต่างๆชัดเจน ทั้งเสียงคุยระหว่างกินข้าวในตอนหัวค่ำ และเสียงกรนในเวลากลางคืน

ข้อเสียอีกอย่างของที่นี่ คือ ห้องน้ำ ซึ่งมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น 
เพราะฉะนั้นในช่วงตอนเช้าหรือหัวค่ำก็อาจต้องรอกันนานหน่อย

ข้อดี
เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับ Budget Traveller ในการใช้ที่นี่เป็นเบสสำหรับการท่องเที่ยวในแถบ Kamakura
และที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากชายหาดชื่อดัง Yuigahama ซึ่งตอนเช้าๆหากใครชอบวิ่งออกกำลังกายแล้วล่ะก็
สามารถวิ่งจากที่พักไปจ็อกกิ้งริมชายหาดได้อย่างสบายๆ

สำหรับเรา 3 วัน 2 คืน ใน Kamakura ถือว่ากำลังพอดี มีเวลาให้เดินชมเมืองแบบไม่ต้องเร่งรีบ
แต่ด้วยอากาศที่ร้อนก็เลยทำให้อาจไปวัดต่างๆอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ครบ กะไว้ว่าจะมาแก้ตัวใหม่อีกทีตอนช่วงใบไม้ร่วง

ใครอยากลองเที่ยว Kamakura ในมุมอื่นๆที่ไม่ใช่แค่พระใหญ่ ลองดูเพิ่มเติมในบล็อกนี้นะคพ
http://naejourney.blogspot.com/2013/08/kamakura.html

หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากเที่ยวญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆกัน