"การเดินทาง" ไม่ใช่เรื่องของการไปให้ถึง "จุดหมายปลายทาง" เท่านั้น
แต่ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้น "ระหว่างทาง" ที่ผ่านเข้ามาให้จดจำ
และบางครั้งอาจมีความหมายมากกว่าจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไปเสียอีก
เหตุการณ์สึนามิ 2011 ที่ประเทศญี่ปุ่น
ช่วยให้เข้าใจในหน้าที่ของ "โชคชะตา"
และความสำคัญของ "ระหว่างทาง" มากขึ้นหลายเท่า
อาจเป็นโชคชะตา ที่ทำให้เรารู้สึกว่าสองคืนใน Kawaguchiko ช่างยาวนานเกินไป
และดลใจให้เราตัดสินใจออกนอกแผนการเดินทางเดิม
จนพบเมืองระหว่างทางเล็กๆแห่งหนึ่งในคาบสมุทร Izu พร้อมด้วยน้ำใจงามๆจากลุงร้านซูชิ
แม้จะอยู่กับฟูจิอย่างเต็มอิ่มแบบเห็นกันเบื่อไปข้างตลอด 2 วัน 2 คืน
แต่ Kawaguchiko ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกอิ่มใจเท่ากับ Takayama
ก่อนเดินทางกลับไป Nagoya พวกเราจึงตกลงกันว่า น่าจะแวะเมืองเล็กๆอีกสักแห่งก่อนกลับ
ขวนขวายหากันอยู่สองชั่วโมง จนมาลงตัวที่เมือง Shuzenji
แน่นอนเหตุผลสำคัญที่เลือกที่นี่เพราะเป็นเมืองออนเซน
Izuhakone Line |
13 สถานีของ Izuhakone Line |
เพียง 4 สถานีก่อนถึงปลายทาง พวกเราแวะเติมพลังข้าวญี่ปุ่นที่ร้านซูชิสไตล์ Edo-Mae (แปลว่าก่อนยุคเอโดะ) แห่งหนึ่งในเมือง Izunagaoka ซึ่งเป็นมื้อที่ต้องจดจำจากความเพลิดเพลินใจในบทสนทนากับ ยามาดะซัง เจ้าของร้าน ที่ได้ให้ความรู้ต่างๆนานาเกี่ยวกับซูชิ แกล้มอาหารมื้ออร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิต และน้ำใจที่ทำให้หลังจากนี้พวกเราต้องกลับไปหาลุงทุกปี
ณ ร้านดารุมะ |
ฝีมือการแร่ซูชิของยามาดะซัง |
เมือง Shuzenji มีครบสำหรับการพักผ่อนในหนึ่งวัน วัด ศาลเจ้า สวนไผ่ และออนเซน คนญี่ปุ่นที่พอมีฐานะ โดยเฉพาะจากโตเกียวมักเลือกที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนในช่วงวันหยุด ซึ่งพวกเราก็อยู่ที่เมือง Shuzenji ระหว่างที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว
Shuzenji สวย งาม สงบ |
แต่ถามว่าตอนนั้นรู้หรือเปล่าว่า เกิดแผ่นดินไหว ตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่า "ไม่"
ยังคงเดินสำรวจเมืองอย่างสนุกสนาน อินไปกับความสงบ เรียบง่ายของเมือง
อาการบอกเหตุเพียงอย่างเดียวที่รู้สึกตอนนั้น คือ เวียนหัว วูบๆ ซึ่งเป็นเพียงชั่วครู่ก็หาย
จนกระทั่งระหว่างเดินทางกลับแม่โทรศัพท์เข้ามา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจที่ติดต่อลูกสาวได้
สอบถามไปมาจึงรู้ว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหว ระดับความรุนแรงเทียบเท่ากับก็อตซิลล่าถล่มเมือง
แต่พอหันมองซ้าย มองขวา เจอคนญี่ปุ่นที่นั่งรถไฟมาด้วยกัน ทุกคนก็ยังดูนิ่ง ไม่ตื่นตกใจอะไร
ความชิลจึงกลับมาอีกครั้ง ก็ญี่ปุ่นแผ่นดินไหวบ่อยอยู่แล้วนี่ คงไม่มีอะไรรุนแรง
จนเมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Mishima ซึ่งเป็นสถานีหลักเพื่อนั่งรถไฟต่อไปยัง Nagoya
แล้วเราก็พบความจริงที่ว่า รถไฟ JR ทุกขบวนหยุดการเดินทาง สัญญาณโืืทรศัพท์มือถือเริ่มขาดๆหายๆ
ผู้คนโดยรอบเริ่มมีท่าทีกระวนกระวาย และหลายคนถอดใจเริ่มนั่งรออย่างหมดความหวัง
พวกเราเริ่มตระหนักได้ถึงความรุนแรงของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้
และเข้าใจได้ทันทีว่า วันนี้เราคงไม่ได้กลับ Nagoya อย่างแน่นอน
ถึงแม้ Mishima จะเป็นเมืองใหญ่ แต่ระยะเวลาเพียงชั่วโมงเดียว โรงแรมทุกแห่งในเมืองถูกจับจอง
หลังจากเดินตระเวนหาห้องพักว่างทั่วทั้งเมืองจนหมดแรง
เรานึกถึงที่ไหนไม่ออก ยกเว้น ร้านซูชิของยามาดะซัง ที่เพิ่งไปทานมาเมื่อตอนเที่ยง
พวกเราจึงลงความเห็นกันว่า นั่งรถไฟย้อนกลับไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ขอบคุณตำรวจหลังจากให้ช่วยแนะนำที่พัก |
สองเท้าไวเท่าความคิด พร้อมใจกันแบกกระเป๋าวิ่งไปยังรถไฟ
อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเราก็มายืนหมดแรงกันอยู่หน้าร้านซูชิ
ทันทีที่ลุงยามาดะเห็นพวกเรา แทบไม่ต้องใช้ภาษามือและภาษาญี่ปุ่่นที่พูดได้เพียงน้อยนิดอธิบาย
ก็เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทันที
"ทานอะไรกันมาหรือยัง" เป็นคำถามที่ออกมาจากปากลุงยามาดะ
ก่อนที่ลุงจะไปเตรียมซูชิจานใหญ่ ชาร์จพลังให้พวกเราได้มีแรงหาที่พักต่อไปในคืนนี้
ระหว่างทานไปลุงก็ค่อยอัพเดทสถานการณ์ให้พวกเราฟังอย่างต่อเนื่อง
เพราะถึงแม้จะเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรง แต่รายการข่าวของญี่ปุ่นก็ไม่มีการรายงานเป็นภาษาอังกฤษเลยแม้ลุงจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และพวกเราก็สนทนาภาษาญี่ปุ่นได้เพียงเล็กน้อย
แต่การสื่อสารไม่เกินความพยายามในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เพื่อนในกลุ่มเริ่มทยอยกันโทรกลับบ้านที่เมืองไทย
และในที่สุด หลังจากจัดการซูชิจานใหญ่จนเกลี้ยง
พวกเราก็หาที่พักนอนในคืนนั้นได้ในโรงแรมขนาดเล็กห่างจากร้านซูชิไปแค่เพียงไม่กี่ร้อยเมตร
คืนที่พวกเราคิดว่าจะต้องเป็นหนึ่งในคืนที่โหดร้าย
กลับกลายเป็นคืนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
พวกเรากินอิ่ม นอนหลับสบาย และตื่นมาอย่างสดใส
เตรียมพร้อมกับการผจญรถไฟ เพื่อเดินทางกลับไปยัง Nagoya
เรื่องราว "ระหว่างทาง" กลับกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดในทริป
สำหรับพวกเรา ซูขิจากความตั้งใจและน้ำใจของลุงอร่อยที่สุดเสมอ